วันหยุดยาว 3 วันนี้ ฉันกับเพื่อนตัดสินใจทิ้งความวุ่นวายของเมืองไว้ข้างหลัง แล้วขับรถมุ่งหน้ามาที่ อุทยานแห่งชาติหาดวนกร ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองประจวบฯ เลยค่ะ ใช้เวลาขับรถแค่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น พอผ่านด่านเก็บค่าบริการ (ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท ค่ารถ 30 บาท) เข้ามา ภาพแรกที่เห็นก็คือถนนที่ขนาบข้างไปด้วยความเขียวขจีของป่า ที่ให้บรรยากาศร่มรื่นและเงียบสงบ จนต้องเตือนเพื่อนให้ชะลอความเร็ว เพราะอาจจะมีสัตว์เล็กๆ ข้ามถนนได้ตลอดเวลา

ขับมาถึงที่ทำการอุทยานฯ เราก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของทะเลที่พัดมาปะทะตัวทันที แค่ขับรถลงเนินมาก็เห็นทะเลสวยๆ รออยู่แล้ว ที่จอดรถเยอะมากค่ะ มาถึงก็ตรงไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย สิ่งที่ทำให้ใจฟูคือค่ากางเต็นท์แสนถูก! ถ้าเอาเต็นท์มาเองก็จ่ายแค่ค่าเช่าสถานที่ 30 บาท/คน/คืน เท่านั้นเอง แต่ถ้าใครไม่มี ที่นี่ก็มีเต็นท์ให้เช่า แถมยังมีบ้านพักริมทะเลวิวสวยๆ ในราคาไม่แพงด้วยนะ
เสร็จเรื่องเงินๆ ทองๆ เราก็ไม่ลืมที่จะให้เจ้าหน้าที่ Stamp ตราอุทยานฯ ลงในสมุดสะสม เจ้าหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร แถมยังเชียร์ให้เราไปตามล่าลายเซ็นต์ให้ครบอีกด้วย!
ถึงเวลาเลือกทำเลปักหลัก เราเลือกกางเต็นท์ใต้ ป่าสนริมทะเล ที่นี่ลมพัดแรงและเย็นสบายมาก แต่กว่าจะกางเต็นท์เสร็จก็ทำเอาเหงื่อแตกพลั่ก! พอจัดการที่พักเสร็จก็ต้องขอไปล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย ที่อุทยานฯ มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำบริการเยอะมากค่ะ สะอาดสะอ้านและแบ่งโซนชาย-หญิงชัดเจน ทำให้การอาบน้ำริมป่าสนเป็นเรื่องที่สะดวกสบายสุดๆ

บ่ายแก่ๆ ก็ขอเติมพลังด้วยคาเฟอีน ที่นี่มีคาเฟ่เล็กๆ น่ารัก เป็นอาคารไม้ริมทะเล เราสั่ง มอคค่าเย็น กับ ขนมปังปิ้งสังขยา มานั่งทานที่ระเบียง พลางมองวิวทะเลสวยๆ พลังงานก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง พออิ่มแล้วก็เดินเล่นริมหาด ชายหาดที่นี่ขาวสะอาดมากค่ะ แต่ถ้าเดินไปตามโขดหินต้องระวังหน่อยนะคะ เพราะเป็นที่อยู่ของหอยแมลงภู่และหอยแครง อาจจะบาดเท้าได้
กิจกรรมช่วงเย็นคือการออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการเช่า จักรยาน (คันละ 50 บาท) ปั่นเข้าไปตาม เส้นทางศึกษาธรรมชาติ สองข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวขจีและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ทั้งกระรอก นกหลายชนิด ปั่นไปเรื่อยๆ ชมวิวไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยค่ะ พอปั่นเสร็จก็ถึงเวลาอาหารเย็น เราไม่พลาดที่จะจัดหนักที่ร้านอาหารของอุทยานฯ สั่งมาเต็มโต๊ะ ทั้ง ต้มแซ่บทะเล ยำผักกูด ปูผัดผงกะหรี่ และ ปลาทอดสมุนไพร รสชาติจัดจ้านถึงเครื่อง อร่อยสมกับความหิวมากๆ
ตกกลางคืน ที่นี่เงียบสงบมาก ได้ยินเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งเท่านั้น ลมพัดโชยเย็นสบายจนชวนให้ง่วง เรากับเพื่อนเลยพากันเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพื่อเก็บแรงไว้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่สอง เราตื่นมาพร้อมความตั้งใจที่จะเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มๆ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า นั่นคือสัญญาณที่ดี! เราเปิดเต็นท์ออกมา ลากเก้าอี้แคมป์ปิ้งไปนั่งรอที่ชายหาด ตั้งกล้องพร้อมถ่ายเก็บโมเมนต์ที่แสงแรกของวันโผล่พ้นน้ำทะเล มันเป็นภาพที่สวยงามและประทับใจที่สุดของทริปนี้จริงๆ ค่ะ แสงสีทองสาดส่องไปทั่วผืนน้ำ ดูเหมือนภาพวาดเลยทีเดียว เรานั่งเสพบรรยากาศยามเช้ากันอยู่พักใหญ่ๆ แล้วค่อยกลับไปงีบต่อในเต็นท์

พอตื่นมาเต็มตาอีกครั้ง ก็ต้องไปเติมกาแฟที่คาเฟ่อุทยานฯ อีกรอบ วันนี้กิจกรรมของเราคือการผจญภัยโลกใต้น้ำ เราไปติดต่อ ทริปดำน้ำดูปะการัง ที่เกาะจานและเกาะท้ายทรีย์ (คนละ 600 บาท) นั่งเรือแค่ 15-20 นาทีก็ถึงเกาะแล้ว เจ้าหน้าที่มีอุปกรณ์ดำน้ำและคอยดูแลความปลอดภัยตลอดทริป แม้จะขึ้นเกาะไม่ได้ แต่โลกใต้ทะเลคือสวรรค์เลยค่ะ ปะการังโขด ปะการังเขากวาง และ ดอกไม้ทะเล ที่นี่เยอะและสวยงามสมบูรณ์มาก เราใช้เวลาชื่นชมความงามใต้น้ำกว่า 2 ชั่วโมงเต็มๆ

กลับเข้าฝั่งมาก็แทบหมดแรงค่ะ รีบหาข้าวกินแล้วไปอาบน้ำนอนพักผ่อนที่เต็นท์ สรุปคือสลบยาวไปเลย 4 ชั่วโมง! ตื่นมาอีกทีก็เกือบเย็นแล้ว เราเลยทำได้แค่นั่งชิลล์ๆ หน้าเต็นท์ สั่งเครื่องดื่มกับอาหารเบาๆ มานั่งกินลมชมวิว พูดคุยกันสัพเพเหระใต้แสงจันทร์ ก่อนจะพากันเข้านอนแต่หัวค่ำอีกครั้ง เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น
สำหรับใครที่กำลังมองหาการพักผ่อนแบบ สโลว์ไลฟ์ ที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง อุทยานแห่งชาติหาดวนกร คือที่ที่เรากล้าแนะนำเลยค่ะ บรรยากาศดี เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย แถมเจ้าหน้าที่ยังน่ารักและสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครันมาก เป็นทริปที่ชาร์จพลังให้ใจได้ฟูเต็มร้อยจริงๆ ค่ะ












